นรารัตน์

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

สมุนไพร3 ตัว ที่ ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย







สมุนไพร3 ตัว ที่ ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ขมิ้นชัน กระเทียม มะรุม 

กระเทียม(Garlic)



พืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่า หัว หัวมีกลีบย่อยหลายกลีบ เนื้อสีขาว มีกลิ่นฉุน


เฉพาะ ใบยาว แบน ปลายแหลม ภายในกลวง ดอกรวมกันเป็นกระจุกที่ปลายก้าน


ช่อ ดอกสีขาวอมเขียว หรืออมชมพูม่วง ใช้หัวปลูก ชอบอากาศเย็นและดินร่วนซุย


กระเทียมช่วยป้องกันเชื้อโรคทุกชนิด รวมทั้งเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะด้วย มีหลักฐาน


พบว่า มีการใช้กระเทียมรักษาและป้องกันโรคมาหลายพันปีแล้ว พบว่ากระเทียม


ช่วยทำให้เลือดดี สามารถควบคุมระดับน้ำตาลและล้างสารพิษ 


ปริมาณที่ควรบริโภคเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันคือ 1,000-1,500 


มิลลิกรัม ซึ่งอาจใช้เป็นรูปกระเทียมสด กระเทียมสกัด กระเทียมผงได้ 


กระเทียมมีสารอัลลิซิน (alliein) ซึ่งเมื่อผสมกับก๊าซออกซิเจนแล้ว จะได้สาร


ประกอบถึง 100 กว่าชนิด ที่ทำปฏิกิริยาได้ทันที (active compounds) จากการ


ศึกษาก็ยังพบว่า กระเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในรูป สด แห้ง น้ำมัน หรือปรุงแต่งแล้ว เช่น


ผ่านกระบวนการ aged นั้น ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น 


กระเทียมสามารถต้านการรวมตัวของเลือด(antiaggregative) ลดสลายปริมาณ 


คอเลสเตอรอลและ ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดโรคหัวใจและความดัน


โลหิตสูง ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส และสารที่เป็นพิษต่อตับ จากการ


ทดลองโดยใช้สัตว์ทดลองพบว่า กระเทียม สามารถต้านการเกิดเนื้องอก (tumor 


formation) และการค้นพบที่สำคัญยิ่งคือมีรายงานว่ากระเทียม ทำให้เซลล์เม็ด


เลือดขาวชนิด เอ็นเค (Natural killer , NK) ทำหน้าที่ได้ดีมากขึ้น 


กระเทียมยังส่งเสริมการทำงานของเซลล์แม็คโครเฟ็จ(macrophage) 


และเซลล์ลิมโฟซัยท์(lymphocytes) ซึ่งเซลล์นี้ทำหน้าที่สำคัญในการเพิ่ม


ภูมิคุ้มกันได้ การทดลองใช้กระเทียม แคลปซูลชนิดที่เรียกว่าไคโอลิค (Kyolic) 


ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชาวญี่ปุ่น ได้พบว่าทำให้ปฏิกิริยาของเซลล์ NK เพิ่มขึ้น 


156 % ขณะที่กระเทียมสดธรรมดาเพิ่มปฏิกิริยาได้ 140% แต่ราคากระเทียมสด


ในประเทศไทยถูกกว่ามากเราจึงน่าใช้กระเทียมสดมากกว่าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่


ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ควรกินกระเทียมสดวันละ 7- 10 กลีบในรูปการใช้ผสม


กับอาหารต่างๆ รวมทั้งน้ำจิ้ม คนไทยมีอาหารที่มีกระเทียมสดเป็นส่วนผสม


หลายอย่าง เช่น ขนมจีนซาวน้ำ มีกระเทียมสด ขิง และสับปะรด การกินร่วมกัน


นอกจากอร่อยถูกปากแล้ว สับปะรดยังสามารถดับกลิ่นกระเทียมได้ด้วย วิธีกินให้


พออาจใช้วิธีผสมกันระหว่างการกินกระเทียมสดประมาณ 2 กลีบ และในรูปอื่นที่


ทำให้สุกหรือดองแล้วอีกสัก 4 – 5 กลีบเป็นต้น การดองกระเทียมในน้ำส้มและน้ำ


ผึ้งเป็นที่นิยม มีประโยชน์และหาซื้อได้ง่าย


สาระสำคัญที่พบในกระเทียม นอกจากสารอัลลิซิน (alliein) และ อัลลิอิน (Alliin)


ซึ่งทำให้กระเทียม มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิตสูง 


และโรคหัวใจ นอกจากนั้นยังมีสารประกอบอื่นๆ ที่มีประโยชน์อีกได้แก่ 


1.ซีเลเนียม (Selenium) เป็นสารป้องกันที่ไม่ให้เนื้อเยื้อถูกทำลาย (Anti-oxidant) 


2.วิตามินบี1 ช่วยให้ระบบประสาทและสมองทำงานดีขึ้น


3.สารไดอัลลิน ไดซัลไฟต์ (Diallyl Disulfide) มีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อ


แบคทีเรีย สาเหตุการเกิดอาการท้องเสีย


4.สารเกลือแร่ที่พบในกระเทียมคือ เจอร์มาเนียม(Germanium) มีคุณสมบัติใน


การขยายหลอดเลือด


5.สารกลูโคไคนิน (Glucokinin) ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด


6.อัลลิซิน(allicin) มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อราประเภท Candida albicans ซึ่ง


เป็นสาเหตุของอาการคันและตกขาวที่ช่องคลอด


อีกประการหนึ่งที่ใช้ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ คือ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 


ป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด เยื้อจมูกอักเสบ น้ำมูก


ไหล ภูมิแพ้ (Anti-allergy) มีคนจำนวนมากที่ใช้กระเทียมในการรักษาโรคภูมิแพ้


ทางเดินหายใจ ดีขึ้นอย่างเห็นผล


จากประสบการณ์ ของตัวผมเองในช่วงหนึ่งที่ผมทำงานเป็นประธานชมรมแสง


เทียนเพื่อชีวิต ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผมต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย


เอดส์ จำนวนมาก ซึ่งในจำนวนผู้ป่วยเหล่านี้จะเป็นวัณโรคอยู่ จำนวนมาก ผมก็รับ


ประทานกระเทียมทุกวัน เป็นการป้องกันวัณโรคไว้ก่อน ซึ่งก็ได้ผลดีมาก แต่ทุกสิ่ง


ทุกอย่างก็ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย


การกินกระเทียนร่วมกับยาต้านไวรัสบางตัวพร้อมๆกันไม่ได้ เพราะจะทำให้ยาต้าน


ไวรัสได้ผลน้อยลง


ถ้าคุณประสบปัญหาเหล่านี้เป็นประจำ


-ระดับโคเลสเตอรอนในเลือดสูง


-ตกขาว


-อ่อนเพลีย เวียนศีรษะบ่อยๆ


-ระดับน้ำตาลในเลือดสูง


-เป็นหวัดบ่อยๆ


-ภูมิแพ้


กระเทียมอาจทำให้คุณลืมปัญหาเหล่านี้ได้




แต่ในทางกลับกัน สมุนไพรย่อมมีทั้งคุณและโทษ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลก


ย่อมมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้นก่อนใช้กระเทียมอย่างจริงจัง คุณควรศึกษาก่อน


ว่า กรณีห้ามใช้มีดังนี้


- ไม่ควรใช้กระเทียมในขณะใช้ยาต้านการรวมตัวของเลือด(Anticoagulants)


-ไม่ควรใช้ก่อนรับการผ่าตัด อาจทำให้เลือดออกมากว่าปกติ


-ไม่ควรใช้หากใช้ยาป้องกันการขาดน้ำตาลในเลือด(Hyproglycemic drugs)


เราลองมารวมประโยชน์ของกระเทียมดูกันอีกครั้งแล้วกันนะครับ


1.กระเทียมช่วยรักษาระดับโคเลสเตอรอลในเลือดให้เป็นปกติ


2.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เชื้อรา และ ไวรัส


3.ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น และป้องกันไม่


ให้เลือดเกาะตัวเป็นก้อน อุดตันหลอดเลือด เหมาะกับผู้สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราจัด คน


อ้วน หรือผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย


4.ช่วยขจัดสารพิษต่างๆ ออกจากร่างการ โดยขับออกทางอุจจาระ


5.กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดิน


หายใจ เช่นโรค หวัด เยื่อจมูกอักเสบ น้ำมูกไหล ภูมิแพ้


6.เป็นยาขับลมช่วยบรรเทาอาการเสียดท้อง(Colic) ท้องอืด (Flatulance)


7.ลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่งเสริมการทำงานของตับอ่อน ในการสร้าง


ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) และกลูคากอน (Glucagon)


8.ลดอันตรายจากอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสื่อม


ของเซลล์ ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง




ขมิ้นชัน


ขมิ้นชัน กับการดูแลรักษาตัวเอง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L.

ชื่อวงศ์ ZINGIBERACEAE

ชื่อพ้อง Curcuma domestica

ชื่ออื่น ๆ ขมิ้น, ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยอก, 
ขมิ้นหัว, ขี้มิ้น, ตายอ, หมิ้น Tumeric, 
Curcuma, Yellow Root

ส่วนที่ใช้ เหง้า

การปลูก

ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ขมิ้นชันชอบอากาศ


ร้อนชื้น ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี ใช้เหง้าแก่ที่อายุ 7-9 เดือน ตัดเป็นท่อน


ให้มีตาท่อนละ 2-5 ตา ปลูกลงแปลงในหลุมขนาด 15 X 15 X 15 เซนติเมตร


การปลูก การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว

ควรเก็บขมิ้นในช่วงที่พืชเจริญเติบโตเต็มที่ช่วงอายุ 9-11 เดือน ประมาณเดือน


ธันวาคม-กุมภาพันธ์ เพราะเหง้ามีความสมบูรณ์เต็มที่ มีความแกร่ง สามารถเก็บ


รักษาเหง้าสดไว้ในสภาพปกติได้นาน ห้ามเก็บเกี่ยวในระยะที่ขมิ้นชันเริ่มแตก


หน่อ เพราะทำให้มีสารเคอร์คูมินต่ำ


คัดแยกและแง่งอออกจากกัน ตัดรากและส่วนต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการทิ้ง อาจใช้แปรง


ช่วยขัดผิด คัดเลือกส่วนที่สมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลง นำมาล้างด้วยน้ำ


สะอาดหลาย ๆ ครั้ง จากนั้นคัดแยกส่วนที่จะเก็บรักษาไว้ทำพันธุ์ต่อไป และส่วน


ของผลผลิตที่จะนำไปทำแห้ง

สารสำคัญ

เหง้าขมิ้นชันประกอบด้วยสารสำคัญประเภทเคอร์คูมินอยด์เป็นสารสีเหลือง 


ประกอบด้วยเคอร์คูมิน, เดสเมทอกซีเคอร์คูมิน และบิสเดส 


เมทอกซีเคอร์คูมิน และ น้ำมันหอมระเหย มีสีเหลืองอ่อน มีสารสำคัญคือ 


เทอร์เมอโรน และซิงจีเบอรีน 


นอกจากนี้ ยังมีสารกลุ่มเซสควิเทอร์ปีน และโมโนเทอร์ปีน อื่น ๆ อีกหลายชนิด


ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา 


การศึกษาในสัตว์ทดลองหรือในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดหรือสารสำคัญของ


ขมิ้นชันมีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้


1. ฤทธิ์ขับน้ำดี กระตุ้นการขับน้ำดีทำให้การย่อยอาหารดีขึ้นช่วยบรรเทา


อาการจุกเสียด


2. ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้


3. ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร


4. ฤทธิ์ลดการอักเสบ


5. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและ antioxidant activity ของสารกลุ่มเคอร์คูมินนอยด์


6. ฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์และต้านการเกิดมะเร็งจากการได้รับสารก่อมะเร็งที่


กระตุ้นให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ 


7.ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย


8.ฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก


ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่ใครๆ ก็รู้จัก เพราะมักจะพบในชีวิตประจำวัน โดยนิยมใช้


ปรุงแต่งกลิ่นและรสในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะอาหารทางภาคใต้ เช่น แกง


เหลือง แกงไตปลา แกงกะหรี่ ไก่ทอดขมิ้น เป็นต้น นับเป็นความฉลาดของคนใต้ 


ที่หาวิธีกินขมิ้นในชีวิตประจำวัน เพราะขมิ้นนั้นปัจจุบัน มีงานศึกษาวิจัยพบว่ามีคุณ


ค่าต่อสุขภาพยิ่งนัก และยังพบว่าขมิ้นชันโดยเฉพาะในภาคใต้ดีที่สุดในโลก เพราะ


มีสารสำคัญคือเคอร์คิวมิน และน้ำมันขมิ้นสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีการปลูกขมิ้นทั้ง


หมด คนสมัยก่อนมีการใช้ประโยชน์จากขมิ้นในหลายๆ ด้าน ทั้งเป็นยาภายนอก


และยาภายใน ในส่วนของยาภายนอกเชื่อว่าขมิ้นชัน ช่วยรักษาแผล ทำให้แผลไม่


เป็นหนอง ช่วยสมานแผล ดังนั้น เวลาที่ก่อนจะบวชเป็นพระนาคต้องปลงผมก่อน


อุปสมบท หลังจากโกนผมแล้วเขาจะทาหนังศรีษะด้วยขมิ้น เพื่อรักษาบาดแผลที่


อาจจะเกิดจากใบมีดโกน 


ขมิ้นยังมีสรรพคุณ ในการรักษาพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ในสมัยที่ยังเล็กๆ ตอนยุง


กัดเป็นตุ่มแดง คุณยายมักจะใช้ปูนกินกับหมากแต้ม เพราะต้องการฤทธิ์แก้พิษ


ของขมิ้น ที่ผสมอยู่ในปูนที่กินกับหมาก และฤทธิ์ของปูนที่ช่วยให้ขมิ้นติดผิวได้ดี


ขึ้น (ปูนกินกับหมากของคนโบราณ ได้จากการเผาเปลือกหอยจนร้อนจัด สามารถ


บดเป็นฝุ่นละเอียดสีขาว แล้วเอาไปผสมกับขมิ้นจะให้สีส้ม หรือเรียกเป็นสีเฉพาะ


ว่า สีปูน) 


นอกจากนี้ยังนิยมใช้ขมิ้นเป็นเครื่องสำอาง คนในแถบตอนใต้ของเอเชีย และแถบ


ตะวันออกไกล ใช้ขมิ้นทาผิวหน้าทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทย


สมัยก่อนจะใช้ขมิ้นในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น 


จะทาขมิ้นหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำ


ให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิง


อินเดียจึงใช้ขมิ้นทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้น


ผสมสมุนไพร ที่ชื่อทาคาน่า ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้เนื้อผิวละเอียด 


จนมีคำกล่าวในบรรดาชายไทยว่าสาวจะสวยต้อง "ผิวพม่า นัยน์ตาแขก" 


ส่วนในการใช้เป็นยารับประทาน เชื่อว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณในการกำจัดสารพิษ


ออกจากร่างกาย มีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ช่วยย่อยอาหาร มี


สรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยบำรุงตับ รักษาระบบทางเดินหายใจที่ผิด


ปกติ หืด ไอ เวียนศรีษะ รักษาอาการปวดและอักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ เป็น


ต้น ปัจจุบันมีการศึกษาเพื่อพิสูจน์สรรพคุณของขมิ้น ตามการใช้แบบโบราณ ก็พบ


ว่ามีสรรพคุณมากมายตามที่เคยใช้กันมา เช่น ขมิ้นชันมีสรรพคุณทำให้แผลหาย


เร็วขึ้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์


ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดีช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้


เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม และมีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะ


ในประเทศไทย (โรงพยาบาลศิริราช) พบว่า ได้ผลดีพอควร 


มีการค้นพบสรรพคุณใหม่ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัว


ของหลอดเลือด การชลอความแก่ การเป็นสารต้านมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ พบว่า 


การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ รวมทั้ง


สามารถป้องกันมะเร็งจากสารก่อมะเร็งต่างๆ และยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัส 


โดยเฉพาะเชื้อ HIV อันเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์ ขมิ้นชันจึงเป็นอีกความหวังหนึ่ง


ของผู้ป่วยเอดส์ 


ขมิ้นชันยังมีคุณสมบัติ ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดปฏิกิริยาการแพ้ คนที่เป็น


โรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อยๆ สมควรกินอาหารใต้ที่ใส่ขมิ้นทุกวันจะได้แข็งแรง 


ตอนนี้สงสารหมอโรคภูมิแพ้ เพราะคนเป็นกันมากเหลือเกินและเราต้องขาดดุลยา


รักษาโรคภูมิแพ้ ที่รักษาไม่หายสักที่ปีละมากมายมหาศาล 




หากจะหันกลับมากินขมิ้นชันกันนั้น ควรเลือกขมิ้นชันที่ได้คุณภาพ คือ ขมิ้นชัน


ต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้ และต้องไม่เก็บ


ไว้นานเกินไป จนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องเก็บให้พ้นแสง เพราะแสงจะ


มีปฏิกิริยากับเคอร์คิวมิน อันเป็นสารสำคัญในขมิ้นชัน หากจะกินขมิ้นอย่างเป็นล่ำ


เป็นสันก็ควรปลูกเอง ดูเอง ขุดมาใช้เองดีที่สุด ถูกดี และควบคุมคุณภาพได้ คนที่


ทำไม่ได้ก็จงเลือกแหล่งซื้อที่ไว้ใจได้ 


ปัจจุบันขมิ้นชันแคปซูล อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และเป็นยาในงาน


สาธารณสุขมูลฐาน จึงสามารถที่จะเบิกค่ายาจากระบบประกันได้ และแคปซูล


ขมิ้นชั้นยังสามารถวางจำหน่ายได้ในร้านค้าทั่วไป หากแพทย์ไทย คนไทยช่วยกัน


ใช้ผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชัน สุขภาพ เศรษฐกิจ ของคนไทย ของประเทศไทยก็คงจะ


ดีขึ้นอย่างแน่นอน






มะรุม


"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam.


วงศ์ 


Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้น


ขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ ต้นมะรุมพบได้


ทุกภาคในประเทศไทย


คุณค่าทางอาหารของมะรุม


มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่า


เป็นพืชที่รักษาทุกโรคใบมะรุมมี โปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า


การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3


เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ 


มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ


วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า 


วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม


แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด


โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย


ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก 


จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ


ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไข


ปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ 


ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก


ประเทศอินเดีย


หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก ประเทศฟิลิปปินส์และบอสวานา 


หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม(ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”)


เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย


กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่


เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้


คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ


รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin)สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก


(lutein และ caffeoylquinic acids)ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ


ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ


การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย 


ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลต


ค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้น


จากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค


กระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุม


ในการต้านเชื้อดังกล่าว.......................


การป้องกันมะเร็ง


สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน


จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์


ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็น


อาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง


โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล


จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัม


น้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว


ต่อวันและให้อาหารไขมันมาก


ใบมะรุม 100 กรัม(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)


พลังงาน 26 แคลอรี


โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)


ไขมัน 0.1 กรัม


ใยอาหาร 4.8 กรัม


คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม


วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)


วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)


แคโรทีน 110 ไมโครกรัม


แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)


ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม


เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม


แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม


โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)


พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิดไตรกลีเซอไรด์


ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิดและ atherogenic index 


ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับหัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา) 


กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด


กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น


ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย ที่ประเทศอินเดียมี


การใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม


การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณ


คอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม


นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง


สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดีย


สามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง


ฤทธิ์ป้องกันตับ


งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับ


หนูทดลองเกิดความเสียหาย


โดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ


โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโน


ทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือดและมีผลกับปริมาณ


ไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ


โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน


(silymarin กลุ่มควบคุมบวก)มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลาย


ของตัวจากยาเหล่านี้ ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติ


ในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300 ชนิด


กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ 


รวมทั้งประเทศไทยกลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน25ท่าน


จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้


ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย


โรคงูสวัด


กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ,เยอรมัน,รัสเซีย,ญี่ปุ่น,จีน,ก็หันมาให้ความสนใจ


และทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรค มะเร็ง 


เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย


จากงานวิจัยจากต่างประเทศ


1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต 


พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี


2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลด


การใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย


3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง


4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุม


ในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV


นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไป สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง


ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง


5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคน


ทั่วไปได้ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา 


แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง


6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่


ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น


ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยา


แพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี


การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง


7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ 


โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม


8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น


โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์


9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น


10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ


ในต่างประเทศมีการค้นคว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางที่จะนำพืชชนิดนี้มาใช้รักษา


ความเจ็บป่วยของมนุษย์ เนื่องจากมะรุมเป็นพืชที่มีธาตุอาหารปริมาณสูงมาก


ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ


มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก


นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า


การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศโลกที่ 3


เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น